และพวกเขายังอยู่ด้วยกันในเกมที่ แพ้ มาร์กเซย์ ในนัดชิงปี 1003 เมื่อปี 1993 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลนา 4-0 ในปี 1994 และเป็นอีกหนึ่งคลีนชีตในนัดชิง แม้จะไม่มี บาเรซี และ คอสตาคูร์ต้า ที่ติดโทษแบน
มิลาน ต้องยอมจำนวนต่อความโดดเด่นของอาแจ็กซ์พลังหนุ่มในรอบชิงปี 1995 แต่ ทีมอิตาเลียน ก็ถือว่าทำได้ดี หลังตลอด 7 ปี พวกเขาคว้าแชมป์ไปถึง 3 ครั้ง เข้ารอบชิงชนะเลิศ 5 ครั้ง และตลอดนัดชิงชนะเลิศทั้ง 5 ครั้ง พวกเขาเสียไปเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น
จุดเด่นของพวกเขาก็คือความแข็งแกร่งในแนวรับ และมันทำให้พวกเขาคว้าสคูเด็ตโต้ มาครองได้ถึง 5 สมัย ในช่วงปี 1998-1996
มิลานยังไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียว ในเกมลีกฤดูกาล 1991/92 และในช่วงต้นยุค 90 พวกเขายังสร้างสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกัน 58 นัด และอิทธิพลของพวกเขาไม่ได้มีแค่ในประเทศ แต่รอสโซเนรี ยังมีอิทธิพลอย่างมากในยุโรป เพราะไม่มีคู่ต่อสู้ทีมไหนเลย ที่ต้องการเจอกับพวกเขาในทัวร์นาเมนต์ที่ต้องแข่งขันแบบน็อคเอาท์
คุณต้องมีขุมกำลังที่ดีที่สุด เพื่อเอาชนะมิลานให้ได้ ในฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ และมาร์กเซย์ ก็เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมในช่วงทศวรรษ 90 (2 ครั้ง) และอาแจ็กซ์ ก็จัดการได้ดี ในช่วงปี 1989 และ 1995 รวมถึงปี 1991 ด้วย พวกเขาก็สามารถเอาชนะได้ พวกเขาพยายามเน้นในช่วง 2 นาทีสุดท้าย ก่อนจะชนะไป 1-0 ในมาร์กเซย์ ก่อนที่พวกเขาจะหายหน้าไป 1 ปี หลังถูกลงโทษแบน
ดังนั้นในแง่ของความยากลำบาก ในการเอาชนะทีมอย่าง เอซี มิลาน จึงถูกตั้งค่าไว้สูงมาก ดังนั้นถูกครั้งมิลานจะถูกยกเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ หลังพวกเขาต้องมาเล่นยูฟ่า ในปี 1996
บอร์กโดซ์ ซึ่งเพิ่งผ่านสตราบูร์กมาได้ในรอบ 2 ซึ่งถือเป็นการเจอกับทีมจากอิตาเลียนเป็นครั้งที่ 2 ของทีมจากแดนน้ำหอม มิลาน ในเวลานั้นกำลังได้สคูเด็ตโต้ และ วางแผนที่จะเพิ่มถ้วยแชมป์ยุโรปอีกหลายเข้าตู้โชว์ของเขา
บอร์กโดซ์ มีเส้นทางที่ไม่หนักมากนักแต่แล้วก็ต้องเจอกับของแข็ง ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพวกเขาได้สิทธิ์มาเล่นรายการนี้ในฐานะแชมป์ อินเตอร์ โดโต้ คัพ และต้องลงแข่งขันมาตั้งแต่รอบแรก แต่แม้จะมี 3 สตาร์ของประเทศ ทีมจากฝรั่งเศส ก็มีทำผลงานในประเทศตัวเองได้ไม่ดีนัก
ทีมดังในยุโรป หลายทีมพยายามแย่งชิงลายเซ็นของ ซีเนดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์ของทีม ขณะที่ บิเซนเต้ ลิซาราซู แบ็คซ้ายทีมชาติ และ อีกหนึ่งดาวดังอย่าง คริสตอฟ ดูการ์รี้ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือสามประสาน ที่ช่วยให้บอร์กโดซ์ ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องตกชั้นเพราะปัญหาเรื่องการเงิน
สโมสรจากฝรั่งเศส อาจจะมีดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในยุโรป ซึ่งเพิ่งอายุ 23 ปี เท่านั้น อย่างซีดานแต่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า คัพ คู่แข่งของเขาเหมือนมาจากอีกโลก เพราะนี่คือมิลาน ที่ยิ่งใหญ่อย่างในช่วงต้นยุค 1990 บางคนอาจจะเลิกเล่น ไปแล้ว โดยเฉพาะ 3 ทหารเสือชาวดัตช์อย่าง มาร์โก ฟาน บาสเทน, รุด กุลลิต แต่ก็มีตัวดังๆรายอื่น อย่าง บาเรซี, มัลดีนี, คอสตาคูร์ต้า และ คริสเตียน ปานุชชี ในเกมรับ และในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มันักเตะระดับท็อปคนอื่น อย่าง มิดฟิลด์ตัวรับ มาร์แซล เดไซญี และกองกลางวัย 19 ปี อย่าง ปาทริค วิเอรา ขณะที่แดนหน้าก็มี โรแบร์โต้ บัจโจ้, สเตฟาโน เอรานิโอ และ เดยาน ซาวิเซวิช และ มาร์โก ซิโมเน่
มิลาย เอาชนะไปก่อนในเลกแรก 2-0 และสร้างความได้เปรียบเหนือบอร์กโดซ์ เมื่อ บัจโจ้ จัดการยิงฟรีคิกเข้าไปในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ซึ่งทีมเยือนน่าจะได้ประตูตีไข่แตกจาก ริชาร์ต วิตช์เก้ แต่ก็ชวดไป
โอกาสสำหรับ บอร์กโดซ์ ดูน้อยลงไป หลังต้องรับมือ มิลานในเกมนัดที่สอง โดยเกมนี้ โรแบร์โต้ โดนาโดนี กองกลางประสบการณ์สูงได้โอกาสลงมาเล่นแทนในตำแหน่งของซาวิเซวิช ขณะที่ จอร์จ เวอาห์ ก็ได้ลงมาแทนที่ ซิโมเน่ นี่แสดงให้เห็นว่าทีมให้ความสำคัญกับฟุตบอลยุโรป มากแค่ไหน
เพื่อที่จะพลิกกลับมาชนะใน 90 นาที นั่นหมายความ บอร์กโดซ์ ต้องทำให้ได้เป็นทีมแรกในรอบ 11 ปี ทียิงใส่ทีมที่มีประสบการณ์มากมายในยุโรป อย่างมิลาน โดยทีมสุดท้ายที่ทำได้ในตอนนั้น ก็คือ โลโคโมทีฟ ไลป์ซิก ที่ทำได้เมื่อปี 1985 ก่อนหน้าบอร์กโดซ์
โดยเกมนั้น โลโคโมทีฟ ต้องตกรอบไปด้วยกฏ อเวย์โกล หลังชนะที่เยอรมัน 3-1 ก็จริง แต่นัดแรกที่มิลาน พวกเขาแพ้ไป 2-0
เกมในเลกสอง บอร์กโดซ์มาใช้ชุดเยือนในสีเสื้อม่วงแดงลายทาง ในการเจอกับ คู่แข่งจากอิตาลี โดยสีเสื้อดังกล่าวมีที่มาจาก ไวน์แดงในเมืองที่มีชื่อเสียง และต่อหน้าแฟนบอลในบ้าน ที่สนาม เลสเคีร สเตเดียม และประตูแรกก็มาอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แฟนยังดื่มไปได้ไม่ถึงขวด และมันเป็นไปไม่ได้ จากจังหวะที่ วิทช์เก เปิดบอลขวางสนามให้ ลิซาราซู เติมไปทางปีกซ้าย ตามเครื่องหมายการค้าของเขา ก่อนจะโยนกลับไปเสาไกล ให้ฟูลแบ็คอีกฝั่งอย่าง ดิดิเยร์ โธโลต์ และ แบ็ควัย 32 ปีก็จัดการส่งบอลเข้าประตูไป
นักเตะและแฟนได้ฉลองร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว และทำให้สนามราวกับมีแผ่นดินไหว แต่ในความเป็นจริง มันเป็นประตูที่มิลานไม่น่าเสีย เพราะ ลิซาราซู เอาชนะ ปานุชชี ได้ก่อนที่ บาเรซี จะพลาดอีก ในการปล่อยให้ โธโลต์ มีพื้นที่ยิงโล่งๆ
หลังจากนั้นเมื่อ ดูการ์รี ทำให้สอรืกลับมาเท่ากันในนาที 64 บรรยากาศในสนามก็ก็เริ่มเปลี่ยนไป มันเป็นการสัมผัสบอลที่ยอดเยี่ยม จุดเริ่มต้นมาจาก ฟรีคิกทางฝั่งซ้ายของซีดาน และดูการ์รี เป็นคนแรกที่อ่านทางบอล ก่อนกลับตัวยิงเข้าไปอย่างสวยงาม
การพลิกสถานการณ์เกิดขึ้นในอีก 6 นาทีต่อมา โดยเกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของสามประสานบอร์กโดซ์ เริ่มต้นที่ ลิซาราซู จ่ายให้ซีดาน เลี้ยงตัดเข้าใน ก่อนยิงไปติดแนวรับของมิลาน กระเด้งมาเข้าทางอีกทีด้วยความโชคดี ก่อนที่เขาจะส่งบอลให้ ดูการ์รี ที่วิ่งมาทางฝั่งขวา ก่อนยิงจากระยะ 16 หลา เสียบเพดานบนเข้าไป
แฟนบอลฝั่งใต้และตะวันตก ต้องอึดอัดตลอดช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่พวกเขาก็จัดการได้ ทั้งที เวอาห์มีโอกาสปิดบัญชีพวกเขา แต่ก็พลาดไป ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีใครคาดถึง มิลานไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ แต่พวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง พวกเขาแทบไม่แพ้ทีมระดับโลกเลย แต่พวกเขากลับต้องมาแพ้ทีมจากโซนท้ายตารางของลีกเอิง ที่ปีนั้นจบอันดับ 16
บอร์กโดซ์ มีเวทมนตร์ของซีดาน ความแข็งแกร่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดของลิซาราซู และความแข็งกร้าวของดูการ์รี ที่อาจจะไม่เข้ากับสเปคของ ฟาบิโอ คาเปลโล บนหน้ากระดาษ อย่างไรก็ตาม ชิรงแดงส์ ได้นำความทรงจำอันแสนวิเศษ ในยุค 80 กลับมาที่ทีมอีกครั้ง หลังพวกเขาเคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1985 และเป็น 4 ทีมสุดท้าน ในคัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1987 และในช่วงกลางทศวรรษดังกล่าวพวกเขายังคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ถึง 3 สมัย 0kd ภ xu
กลุ่มนักเตะในยุค 1996 กลายทีมที่ดีกว่าทีมในรุ่นก่อนหลังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรป หลังเอาชนะ ทั้งเกมเหย้าและเยือน เหนือสลาเวีย ปราก ในรอบรองชนะเลิศ โอลิเวอร์ คาห์น ของบาเยิร์น มิวนิค, โลธาร์ มัทเธอุส, เจอร์เก้น คลินส์มันน์ และ ฌอง ปิแอร์ ปาแป็ง ก็เข้ามารอในรอบชิงชนะเลิศเช่นกัน หลังจากที่เอาชนะความแข็งแกร่งของเอซี มิลาน มาได้ เส้นทางระยะไกลของทีมจากน้ำหอมใกล้จะจบลงแล้ว หลังต้องเล่นมานานกว่า 11 เดือน ตั้งแต่รอบคัดเลือกของ อินเตอร์ โตโต้ คัพ ในวันที่ 1 กรกฎาคม
โดยเลกแรกของรอบชิงชนะเลิศ ที่มิวนิค ซีดาน และ ดูการ์รี ต่างติดโทษแบนและทำให้ทีมจากเยอรมันเล่นได้ง่ายก่อนเอาชนะไป 2-0 ผลการแข่งขันในเกมดังกล่าว นั้นคล้ายคลึงกับที่มิลานทำได้ และทำให้ บอร์กโดซ์ หวังซ้ำรอยเหมือนกับที่พวกเขาทำได้ เมื่อ 2 เดือนก่อน แต่ บาเยิร์น ก็หยุดฝันของพวกเขา หลังเลกสอง พวกเขาก็บุกไปชนะ 3-1 ถึงประเทศฝรั่งเศส ก่อนชนะไปด้วยสกอร์รวม 5-1
และนี่เป็นจุดสิ้นสุดความรุ่งเรืองของทั้ง เอซี มิลาน และ บอร์กโดซ์ แม้อาแจ็กซ์ ยังเป็นผู้ก่อให้เกิดจุดดับบออร่า ในความไร้เทียมทานในปี 1995
บอร์กโดซ์ ได้ฆ่ามันอย่างสมบูรณ์แบบในปี 1996 ผลการพิสูจน์แล้วว่ามีผลทางจิตวิทยาอย่างมาก ต่อทีมที่ดูเหมือนจะเอาชนะได้ง่ายๆ
แชมเปี้ยนส์ลีก ของรอสโซเนรี ในฤดูกาล 1996/97 นั้นถือว่าเป็นหายนะของพวกเขา หลังพ่ายคาบ้านต่อ ปอร์โต้ และ โรเซนบอร์ก และยังแพ้ที่โกเตนเบิร์ก อีกด้วย มิลานจบด้วยการเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลยุโรป
มันน่าทึ่งมาก ที่จนถึงนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขาจะบุกไปเยือน โรเซนบอร์ก พวกเขาเก็บได้แค่แต้มเดียวเท่านั้นในบ้านของตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังแพ้อีก แม้ทีมจะมีนักเตะอย่างมัลดินี, บาเรซี และ บัจโจ้ ในสนาม และเปรียบเหมือนการประชุด ที่ คนทำประตูให้พวกเขาได้ในเกมสุดท้าย คือ ดูการ์รี แต่สุดท้าย มิลานก็แพ้ ไป 1-2
โดยเขาได้เข้ามาอยู่กับทีมเพื่ออุดรูรั่วหลังจากที่ทีมคว้าสคูเด็ตโต้สมัที่ 15 และในฤดูกาล 1996/97 มิลาน จบอันดับ 11 และเป็นปีสุดท้ายที่น่าผิดหวังของบาเรซี และ ทัสซอตติ
หลังจากฤดูกาลที่น่าเป็นห่วงในฟุตบอลในประเทศฤดูกาล 1995/96 ฤดูกาลต่อมาทำให้พวกเขาไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป สำหรับ บอร์กโดซ์ พวกเขาต้องเสีย 3 นักเตะที่ดีที่สุด อย่าง ซีดาน ที่ย้ายไปยูเวนตุส, ลิซาราซู ไป แอธ.บิลเบา และ ดูการ์รี ไปมิลาน
แน่นอนว่า ซีดาน ได้เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ ต่อด้วยการยิง 2 ประตูให้กับทีมชาติฝรั่งเศศ ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ในอีก 2 ปีต่อมา ขณะที่เกมนั้น ลิซาราซู ก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ส่วนดูการ์รี แม้จะเป็นแค่ตัวสำรอง แต่ก็ได้ลงมาในช่วงครึ่งหลัง
นอกจากนี้ เขายังประสบความสำเร็จในแชมเปี้ยนส์ลีก กับ เรอัล มาดริด ในปี 2002 ขณธที่ ลิซาราซู ก็คว้าแชมป์รายการเดียวในปีก่อนหน้านี้ ที่บาเยิร์น มิวนิค
ดูการ์รี อาจจะทำได้ไม่เท่าเพื่อนร่วมทีมในเรื่องของความสำเร็จ หลังจากที่อยู่ มิลาน ได้ไม่นาน เขาก็ไปอยุ่กับบาร์เซโลนาเป็นเวลาสั้น 1 ปี ก่อนจะย้ายมามาร์กเซญ์ และกลับไปที่บอร์กโดซ์อีกครั้ง ก่อนจะถูกปล่อยให้เบอร์มิงแฮม ยืมตัว และซื้อขาดในปี 2003
แม้ว่านักเตะจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากจะลืมเลือนที่สุดในประวัติศาสตร์ของบอร์กโดซ์ ในด้านของมิลาน ช่วงเดือนมีนาคม 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ฟุตบอลอิตาเลียน เริ่มเสื้อถอย ซึ่งได้รับการยืนยันในปีเดียวกัน ด้วยผลการแข่งขันที่น่าอับอายที่สุดในยุโรป