จากอันเดรีย ปิร์โล ถึง ซาบี หลายสโมสรชั้นนำ เริ่มเข้าหาอดีตสุดยอดนักเตะที่ไม่มีประสบการณ์ มากกว่าการมองหากุนซือจอมแท็คติก ซึ่งมันทำให้การทำประชาสัมพันธ์มันง่ายมากขึ้น ในการระดมความคิด
มันเป็นเรื่องธรรมชาติของสโมสรระดับท็อป ที่สามารถผู้ขาดความเป็นใหญ๋ในลีก บางสโมสรยิ่งใหญ่เกินไปที่จะล้มเหลวได้ ขณธที่ตัวเจ้าของเองก็มีความกระหาย ที่จะลงทุนให้น้อยที่สุด ในการสร้างสิ่งต่างๆขึ้น
ยุคใหม่ที่กำลังผ่านไปของ แฟรงกี้ และ โชเซ
และสิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดเกี่ยวกับ เทรนด์ ในตอนนี้ คือมันแทบจะตรงข้ามกับยุคของ เจอรเก้น คล็อปป์ และ เป็ป กวาร์ดิโอลา, ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ และ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่มันควรจะเป็นบทเรียนของเขา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทีมที่ดีที่สุดในโลก พยายามใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแผนการเล่น ทั้งความอัตโนมัติ แท็คติกที่ซึมซับเข้าไปจนกล้ามเนื้อเกิดการจดจำ โดยมาจากการเคลื่อนไหวที่ทำซ้ำๆในการซ้อม ตัวอย่างเช่นการโจมตี ที่มีจินตนาการมากมายเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ ที่เหมือนเหมือนกับเครื่องจักร ที่ให้อิสระมากมายในการเล่น
ยุคใหม่นี้กำลังผ่านเข้ามา โดยเหตุผลที่แตกต่างกัน ทั้งแฟรงค์ และ โชเซ
ผู้จัดการทีมของเชลซี ที่ถูกจ้างเข้ามาหลายคน มักจะถูกบีบบังคับให้ปรับทีมให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มมองหาตำนานของสโมสรในยุคใหม่ ในขณะที่ เฮดโค้ชของสเปอร์ส คือตัวแทนของยุค กวาร์ดิโอลา และ คล็อปป์ ที่มีแท็คติกเกมรับที่ละเอียดและซับซ้อน ผสมผสานกับการโต้กลับที่มีความอิสระ
ผู้จัดการทีมทั้ง 2 คน เหมือนเรียนหนังสือคนละบทเรียน ระหว่างเยอรมันและสเปน มันเป็นยุคเล็กๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เทียบเท่ากัน ตัดสินใจได้อย่างฤดูกาลล่าสุด แพดดี้ จะเป็นทีมที่ดีที่สุดในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก
ผู้จัดการที่เคยเป็นอดีตนักเตะมาก่อน เขามักจะเดินหน้าเข้าใส่แบบไม่สนโลก และทีมก็พร้อมสนับสนุน เชลซี พยายามสะสมกองกำลังดาวรุ่งที่ดีที่สุดในยุโรป แต่ไม่มีทีมงานสักคน ที่พร้อมจะแก้ไขความผิดพลาดของทีม ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล 2019/20
สิงห์บลู มักจะมีปัญหาเมื่อเสียการครอบครองบอล ซึ่งมันเกิดจากการขาดความละเอียดของแต่ละตำแหน่งของแลมพาร์ด ในการกำหนดโครงสร้างการครองบอลในทีมของเขา
หากพวกเขาได้บอล พวกเขามีอิสระในการสร้างเกมเต็มที่ และมีอิสระที่จะโจมตีในทุกพื้นที่ ทุกที่พวกเขาเห็นว่าเป็นที่ว่าง พวกเขาพร้อมที่จะเอาบอลไปที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นแนวกว้าง หรือแนวลึก และมันจะเป็นการเปิดโอกาสในการโดนโต้กลับ
การรับมือกับ การเปลี่ยนจากเกมรุกมาเป็นเกมรับ คือปัญหา ที่ไม่เคยหายไป มันแสดงให้เห็นว่า แลมพาร์ด ยังขาดความรู้เรื่องแท็คติก ตามแพทเทิร์นของการเป็นสุดยอดโค้ช (กวาร์ดิโอลา และ คล็อปป์ จะมีการเล่นเกมรุกที่จำกัด เพื่อจะสามารถครอบครองพื้นที่และสามารถควบคุมพื้นที่ได้หากเสียบอลกลางทาง)
ปัญหานี้ทำให้เชลซี เสียไปถึง 54 ประตู ในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ในลีก การดึง ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ ติโม แวร์เนอร์ ในตำแหน่งกองหน้าอาจจะช่วยพวกเขาได้เล็กน้อย เนื่องจากทั้งคู่เล่นเพรสซิ่งได้ดี แต่นี่เป็นปัญหาของระบบ ที่จำเป็นต้องพัฒนา และยังหาทางแก้ไม่ได้
สังเกตว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไม่ค่อยได้โอกาสเป็นกองกลางของแลมพาร์ดเท่าไหร่ แม้เขาจะวิ่งไปทุกพื้นที่ได้ก็ตาม
แม้ว่าเชลซีจะมีข่าวกับดีแคลน ไรซ์ แต่เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปปิดทุกพื้นที่ ที่ทีมครองบอลที่ไร้ระเบียบหรือแนวทางที่ชัดเจน มันไม่มีทางเลยที่เขาจะชนะปัญหานี้ได้ ในขณะที่การคว้าตัว ติอาโก้ ซิลวา ที่มีอายุมากแล้ว พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องเจอหายนะ และรูปแบบการเล่นที่ยังไม่เป็นระเบียบของ แลมพาร์ด
สเปอร์สของมูรินโญ ไม่ได้ทันสมัยไปกว่า เชลซีของแลมพาร์ด
สเปอร์ส ของมูรินโญ ไม่ได้ทันสมัยไปกว่า เชลซีของแลมพาร์ด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีแท็คติกที่ยอดเยี่ยม และอยู่ในหลักการพื้นฐานในการควบคุมอะไรบางอย่าง
หลังจากที่แพ้ในนัดเปิดหัว 0-4 ต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มูรินโญ คือคนแรกที่บอกถึงข้อบกพร้องของเชลซี ในสตูดิโอ สกาย สปอร์๖ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการคอมแพคต์ และการเปลี่ยนเกมรุกเป็นเกมรับ
และในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาคุมทีมอย่างสเปอร์ส พวกเขาไม่เพียงแต่จบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใคร 6 นัดติดกัน แต่หากดูการคุมทีมนับตั้งแต่มูรินโญ เข้ามาพวกเขาควรจบด้วยการเป็นท็อปโฟร์ด้วยซ้ำ และพวกเขาก็เล่นในสไตล์ความเป็นมูรินโญ
ในช่วงแรกเขาได้ทดสอบระบบการเล่นเกมรุกในระบบ 3-2-5 และนำมาด้วยชนะ 3-2 ก่อนที่ มูรินโญ จะกลับมาใช้หลัง 4 และพยายามเล่นเกมรับในแดนกลาง และโจมตีอย่างรวดเร็ว
ซัมเมอร์ของ สเปอร์ส ไม่ได้มีการทุ่มเงินก้อนโต หากเทียบกับเชลซี แต่ฉลาดกว่าแน่นอน
ปิแอร์ เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก เป็นกองกลางตัวรักที่สมบูรณ์แบบสำหรับ มูรินโญ ซึ่งมีสไตล์เดียวกับ มาติช และควรจะรักษามาตรฐานและความสม่ำเสมอ และทำให้ เกดสัน เฟอร์นานเดส และ เดเล อัลลี มีอิสระและมีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ในตำแหน่งของ เซิร์จ ออริเยร์ การได้ แมตต์ โดเฮอร์ตี้ มาก ก็เป็นการพัฒนาที่สำคัญของ มูรินโญ ในการมี แผงแบ็คโฟร์ที่แข็งแกร่ง เพื่อต่อยอด แท็คติกของมูรินโญ
ขุมกำลังของสเปอร์ส มีแท็คติกที่เข้ากับตัวของมูรินโญ ฟุตบอลเป็นอย่างมาก แฮร์รี เคน เป็ฯกองหน้าที่สมบูรณ์แบบ เหมือนกับที่เขาเคยมี คาริม เบนเซม่า หรือ ดิดิเยร์ ดร็อปบา และอาจจะเหนือกว่าเดิมในการคุมทีมของ กุนซือชาวโปรตุกีส
ซน ฮึง มิน และ ลูคัส มูร่า เป็นริมเส้นที่ฉลาดและว่องไวและสามารถพัฒนาได้อีก เมื่อพวกเขาโจมตีแนวรับด้วยเกมโต้กลับ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ และ เอริค ดายเออร์ เป็นนักเตะที่มูรินโญพยายามคว้าตัวมาร่วมทีมในอดีต
สเปอร์สดูมีระเบียบ และสมบูณร์กว่าปีก่อน
การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อาจจะเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินไปสำหรับพวกเขา และนอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีทีมอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีความซับซ้อนทางแท็คติก ที่ไม่เหมือนใครในยุโรป
แต่ในขณะที่ทั้งเชลซี และ สเปอร์ ที่มีผู้จัดการทีมที่เน้นเรื่องการโจมตีในรูปแบบอิสระ แต่ล้มเหลวในเรื่องรายละเอียดการโค้ชในพื้นที่สุดท้าย รูปแบบการเล่นของแลมพาร์ด นั้นเปิดกว้าง แต่มูรินโญ นั้นค่อนข้างกระชับ โดยเน้นที่การโต้กลับจากพทื้นที่แนวรับ และการจัดระเบียบทีมที่เน้นความปลอดภัย และลดความเสี่ยงให้มากที่สุด
แฟชั่นเรื่องการจ้างตำนานสโมสรที่มีอายุน้อย แต่ยังขาดเรื่องประสบการณ์ มันยากที่จะยืนหยัด และมันไม่มีทางที่จะกลายเป็นบรรทัดฐานในฟุตบอลอังกฤษ โดยหลายสโมสรมากกว่า 6 ทีมที่คาดหวังว่าพวกเขาจะมีลุ้นแชมป์ในอนาคต
ในที่สุด ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อาจจะต้องพึ่งโค้ชอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน, แม็กซ์ อัลเลกรี, คอนเต้, นาเกิลส์มันน์ และคนอื่นๆ ที่อาจจะส่องแสง มากกว่าที่จะเลือกโค้ชอย่าง แลมพาร์ด หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา โค้ชควรจะมีประสบการณ์ และเจอบททดสอบก่อนที่จะเข้ามาคุมทีมชั้นนำ
สำหรับปี 2020/21 สเปอร์สได้ปรับให้ทีมมีระเบียบ และสมบูรณ์กว่าปีก่อนๆ แม้อาจจะดูหงุดหงิดบ้าง เมือเห็นการเสริมทัพของเชลซี