บาเยิร์นครองความยิ่งใหญ่ฟุตบอลภายในประเทศ และในระดับยุโรป เมื่อ ฟิลิปป์ ลาห์ม ได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ ที่ สนาม เวมบลีย์ ในกรุงลอนดอน หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง กวาร์ดิโอลา เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนแทนที่ของ จุ๊ปป์ ไฮน์เกส และ แค่ปีแรกพวกเขาก็สร้างประวัติศาสตร์ บุนเดสลีกา ด้วยการคว้าแชมป์ตั้งแต่นัดที่ 28 ของฤดูกาล
บาเยิร์นชุดปัจจุบัน กำลังไล่ล่าตัวเลขดังกล่าว หลังปัจจุบันทำแต้มทิ้งห่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และยืดครองจ่าฝูงได้อย่างเหนียวแน่น ในเกมที่ 28
นับตั้งแต่ปลด นิโก้ โควัช ออกจากตำแหน่ง ตอนนั้น บาเยิร์น อยู่อันดับ 4 ของตารางคะแนนในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยมีแต้มตามหลังจ่าฝูงในเวลานั้น อย่าง โบรุสเซีย มีนเชนกลัดบัคถึง 4 แต้ม และหลังจบเกมที่ 10 ที่พ่ายต่อ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ทำให้ ฟลิคได้เข้ามาสานงานต่อจากโควัช
เมื่อดูจากสถิติ มันเห็นได้ถึงการปฏิวัติครั้งใหม่ หลังเก็บชัยชนะ 25 จาก 28 นัดในทุกรายการ และถือเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ สำหรับบาเยิร์น มิวนิค นอกจากนี้พวกเขายังเก็บได้ถึง 2.71 ต่อนัดสูงกว่า ที่เป็ป เคยทำได้ที่ 2.6 แต้มต่อนัด และสูงกว่ายุค 3 แชมป์ของไฮน์เกส ที่ 2.7 คะแนนต่อเกม
แต่ตัวเลขเหล่านั้นมันไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่า บาเยิร์น ของฟลิค ประสบความสำเร็จ จนกว่าการแข่งขันฤดูกาล 2019/20 จนจบลง
โดย โอลิเวอร์ คาห์น หนึ่งในบอร์ดบริหารของสโมสร บอกว่า “ฮันซี รู้ว่าสโมสรต้องการอะไร” และ ฟลิคเองก็ยอมรับว่าหลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นนักฟุตบอลในช่วงปลายยุค 80
“ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวที่ผมได้ ในสมัยเป็นนักฟุตบอลได้ คือ คุณชนะ 1-0 มันไม่สำคัญหรอก” กุนซือวัย 55 ปี กล่าว “ชัยชนะอย่างเดียวในวันนี้มันไม่เพียงพอ แน่นอนว่าสุดท้าย มันอยู่ที่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน ผมเข้าใจว่า บาเยิร์น มีความกระหาย เกินกว่าที่จะให้แฟนบอลพอใจกับชัยชนะแค่ 1-0”
ภารกิจแรกของ ฮันซี สำเร็จแล้ว โดยมีแค่เกมเดียวเท่านั้น ที่เสือใต้ของฟลิต ยิงไม่ได้ คือการเสมอ 0-0 ในนัดที่ 21 ที่เสมอ อาร์เบ ไลป์ซิก ไป 0-0 และมีแค่ 2 ครั้งเทานั้น ที่พวกเขาชนะได้แค่ 1-0
ชัยชนะ 2-0 ของบาเยิร์น ที่ยูเนียน เบอร์ลิน ในการกลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังต้องหยุดไปเพราะการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้พวกเขายิงได้ถึง 50 ประตู จากการคุมในลีก นัดที่ 16 ของฟลิคเท่านั้น และหลังจากนั้น พวกเขาก็ชนะ ฟอร์ทูนา 5-0 ทำให้พวกเขายิงไปแล้ว 86 ประตูในฤดูกาลนี้ และถือเป็นเกมที่พวกเขาทำประตูได้มากที่สุดในบุนเดสลีกา ฤดูกาลนี้ ตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่ 3 เกม แต่พวกเขาก็ทำไปแล้วถึง 92 คะแนน
ที่จริงแล้วค่าเฉลี่ย การยิง 3 ลูกต่อ 1 นัดของ บาเยิร์น ภายใต้การคุมทีมของ ฟลิค ยังถือว่าน้อยกว่าที่ ไฮน์เกส และ กวาร์ดิโอลา ทำได้ แต่เมื่อรวมทุกรายการแล้ว ทั้งแชมเปี้ยนส์ลีก นั่นหมายความว่าพวกเขายิงได้ 3.14 ประตู ในทุกๆ 90 นาที
การทำประตูมันง่ายมาก เมื่อคุณมีจอมถล่มประตูอย่าง เลวานดอฟสกี้ อยู่ในทีม “เขายิงประตูอีกครั้ง จนตอนนี้ยิงไปแล้ว 26 ประตู ในช่วงเหลืออีก 8 เกม และเขาก็มีโอกาสทำลายสถิติของแกร์ด มุลเลอร์ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขามีคุณภาพ” ฟลิค พูดถึงกองหน้าทีมชาติโปแลนด์ ที่ยิงไปแล้ว 30 ประตู ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 นัด
การถูกแบนในเกมที่ชนะ โบรุสเซีย มีนเชนกลัดบัค ทำให้ เลวานดี้ มีโอกาสสูงขึ้น ในการทำลายสถิติการยิงประตูในลีกได้ 40 ประตู ในฤดูกาล 1971/72 ซึ่งเป็นของตำนานบาเยิร์น ซึ่งถ้าจะมีใครสักคนจะทำได้ก็คงเป็นเขา
และเพื่อนร่วมทีมของเลวานดี้ ก็ขันเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น โดยนับตั้งแต่ฟลิค เข้ามาคุม ทีมมีค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดในเกี่ยวกับจำนวนการเสียประตูดู แค่ 0.71 ต่อนัด ดีที่สุด 5 ท็อปลีกในยุโรป ในฤดูกาลนี้
ความสำเร็จของบาเยิร์น เกินจากการทุ่มเทอย่างหนักผสมผสานกับความสามารถของฟลิคที่ทำงานหนักเช่นกัน สถิติต่อเกมนักเตะทุกคนจะวิ่งได้ประมาณ 1.8 ไมล์ต่อเกม สูงกว่า ยุค เทรเบิ้ลแชมป์ของ ไฮน์เกส และสูงกว่าตอนที่ เป็ป ทำลายสถิติบุนเดสลีกา ที่ทำไปแค่ 1.2 ไมล์ต่อเกม นอกจากนี้พวกเขายังมีความดุดัน และ ก้าวร้าว หลังมีการสปรินต์ 261 ครั้งต่อเกม เทียบกับยุค ไฮน์เกส ที่ทำไป 165 และ กวาร์ดิโอลา ที่ 214
“แน่นอนว่ายังมีจุดที่ต้องปรับปรุงมากมาย” แบ็คซ้ายชาวแคนาดาของ บาเยิร์น บอกกับ bundesliga.com หลังเกมที่ชนะ ยูเนียน “เรายังเล่นได้ไม่ดีที่สุดในเกมนี้ แต่เราจะกลับไปฝึกซ้อมและแก้ไขบางอย่าง”
สิ่งที่ต้องแก้ไข จะแสดงให้เห็นในเกมกับ แวร์เดอร์ เบรเมน คู่ต่อสู้ทีมต่อไป ของจ่าฝูงของลีก เพราะฟลิค คงไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงผู้เล่นตัวจริง หากพวกเขายังสามารถรักษาระดับ เดินหน้าสร้างสถิติ หลายคนอาจจะจำภาพบาเยิร์นชุดนี้ เฉกเช่น ทีมยุคกวาร์ดิโอลา และ ไฮน์เกส ที่ยังคงเป็นประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกา และ บาเยิร์น ไปตลอดกาล