ว่าแต่เขาเป็นใคร
รุด กุลลิต เพิ่งมีอายุครบ 58 ปี เขาเป็นชาวดัตช์ สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว เกิดที่อัมส์เตอร์ดัม และเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นสวีปเปอร์ หรือ กองหน้า เขาได้รับการยกย่องว่าเป้นนักฟุตบอลที่น่าตื่นเต้นที่สุดในยุคนั้น รวมถึง ในยุคหลัง ด้วยไอเดียที่น่าตื่นตา และการเคลื่อนที่ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เขารับใช้ 6 สโมสร ตลอดกาลค้าแข้ง ได้แก่ เอชเอฟซี อาร์เลม, เฟเยนูร์ด, พีเอสวี, เอซี มิลาน, ซามพ์โดเรีย และเชลซี ซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้บอกว่า มันทำให้เขาสบายใจที่สุด
เขาเป็นชาวดัตช์ ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพ หลังจากที่เขาได้โอกาส อาร์เลม ในปี 1978 ด้วยวัยเพียง 16 ปี ซึ่งตอนนั้น มีอดีตนักเตะเวสต์บรอม นามว่า แบร์รี ฮิวจ์ส คุมทีมอยู่ รุด สร้างความประทับใจให้กับ แบร์รีมา จนถูกตั้งฉายา ว่า ดันแคน เอ็ดเวิร์ต แห่งฮอลแลนดื แม้ปี 1978 เอ็ดเวิร์ตส จะเสียชีวิตไปแล้วกว่า 20 ปี และแทบไม่ถูกพูดถึงในปัจจุบัน อย่างไรตามเขาก็ถูกตั้งฉายานี้เป็นเวลา 3 ฤดูกาล นับตั้งแต่ได้ดอกาสครั้งแรก โดยปีแรก เริ่มต้นด้วยการตกชั้น และปีต่อมาก็เลื่อนชั้น และ ปีที่สามทีมก็คว้าสิทธิ์ไปเล่นบอลยุโรป เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยเขาลงสนามให้ทีมไปทั้งหมด 100 นัด พร้อมยิงไป 36 ประตู
แม้ว่าตอนนั้น เขาจะยังเป็นด้าวรุ่ง แต่เขาก็ถูกจับไปเป็นสวีปเปอร์ และไหวพริบของเขา ดึงดูดความสนใจจากหลายสโมสร และถูกตั้งราคาไว้ที่ 30,000 เขาถูก อาร์เซนอล และ อิปสวิช ทีมจากอังกฤษ ปฏิเสธ และสุดท้ายก็ย้ายไป เฟเยนูร์ด ซึ่งถือเป็นการย้ายทีมครั้งสำคัญของรุด เนื่องจาก ตอนนั้น โยฮัน ครัฟฟ์ เข้ามาคุมทีมพอดี และมีอิทธิพลต่อตัวเขาเป็นอย่างมาก ตามที่เขาเคยให้สัมภาาณ์ไว้เกี่ยวกับ ชายผู้ยิ่งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้
และในฤดูกาลที่สองของรุด ที่สโมสรใหม่ เขาคว้าแชมป์ลีก และ บอลถ้วยมาครอง พร้อมได้รับเลือกให้เป็นนักเตะแห่งปีของลีก ดัตซ์ โดยรวมแล้วเขาลงสนามให้เฟเยนูร์ด ทั้งหมด 104 เกม และยิงไป 41 ประตู ในตำแหน่งกองกลางตัวรุก
สิ่งนี้ทำให้เขาต้องย้ายทีมอีกครั้ง ด้วยค่าตัว 1.2 ล้าน สู่พีเอสวี กุลลุต กลายเป็นที่รู้จัก และเป็นที่รัก ทันทีที่เขาย้ายมาร่วมทีม หลังจากที่เขาเป็นนักฟุตบอลที่แปลกประหลาดหากเทียบกับนักฟุตบอลคนอื่นๆ เขาได้เพิ่มความแปลกใหม่มากมาย ในเวลานั้น เขาเหมือนนักมายากล หัวเดรดล็อค
ในปี 1986 เขาได้รับเลือก ให้เป็นนักฟุตบอลแห่งปีครั้งที่ 2 หลัง พาพีเอสวี คว้าแชมป์ เอเรดิวิชี สองสมัยติดต่อกัน เขาสร้างอิมแพคต์ ในเวทีระดับนานาชาติ ซึ่งหลายคนก็มั่นใจว่าเขาจะได้ย้ายไปค้าแข้งกับทีมยักษ์ใหญ๋ในยุคโรป และการคาดการณ์ก็ตรงเผง หลัง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ทุ่มเงิน 18 ล้าน เพื่อคว้าตัวเขามา มิลานในปี 1987 โดยเขาจะเข้ามาแทนที่ของ เรย์ วิลกินส์ แต่สุดท้าย เขามีบทบาทแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เขาเข้าร่วมทีม สามทหารเสือจากดัตช์ ร่วมกับ มาร์โก ฟาน บาสเทน และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และเมื่อรวมเข้ากับ เปาโล มัลดินี และ ฟรังโก้ บาเรซี ช่วยให้มิลายคว้าแชมป์ เซเรีย ในปี 1988 ต่อด้วย แชมป์ยุโรป ในปี 1989 และ 1990
ในปี 1987 นักเตะมิลานของได้รับรางวัลบัลลงดอร์ และได้อุทิศให้กับ เนลสัน แมนเดลา เขากลายเป็นปรากฏการณ์ของ ทีมชาติฮอลแลนด์ ชุดแชมป์ ยูโร 1988 รุด ทุกอย่างทุกนำมารวมกัน
เขาเล่นให้มิลานไปทั้งหมด 171 เกม และยิงได้ 56 ประตู ตลอดเวลา 7 ปีที่เขาอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิมแพคต์ของเขา
เมื่อเขาเริ่มดร็อป ปี 1993 เขาถูกปล่อยให้ซามพ์โดเรีย ยืมไปใช้งานเวลา 2 ปี โดนเข้าเล่นไปทั้งหมด 63 เกม และยิงประตูไป 26 ลูก ภายใต้การคุมทีมของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน
ในปี 1995 เขาย้ายไปเชลซี และเป็นการย้ายครั้งสุดท้าย โดยตลอด 3 ฤดูกาล เขาลงสนามไป 63 นัด พร้อมทำไป 7 ประตู ซึ่งห่างไกลจากตอนที่เขาพีคๆ และเขาก็เป็นส่วนสำคัญของพรีเมียร์ลีก ที่ต้องการมองหานักเตะที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก
เมื่อผู้จัดการทีมอย่าง เกล็น ฮ็อดเดิ้ล ถูกตั้งเป็นเฮดโค้ชทีมชาติอังกฤษ ในปี 1996 รุดได้ถูกเสนอให้เป็นโค้ชแอนด์ เพลเยอร์ของทีม และพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะ มิดเดิลส์โบรช์ ในรอบชิงชนะเลิศ ตั้งแต่ฤดูกาลแรกของเขา พร้อมกับการจบอันดับ 6 เขาเป็นผู้จัดการทีมผิวดำคนแรกในลีก
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้ยั่งยืน เขาหลุดออกจากทีม พร้อมกับ เคน เบตส์ และอันดับของเชลซีในฤดูกาลต่อมา แม้ว่าจะพาทีมจบรองแชมป์ลีก แต่เขาก็ถูกไล่ออกและถูกแทนที่โดน จิอันลูก้า วิอัลลี กูรูผู้มีแววตาเหมือนเหยี่ยว
หลังจากนั้นก็มีช่วงเวลา 1 ฤดูกาล กับห้าเกมที่ฉาวโฉ่ ที่นิวคาสเซิล พวกเขาทำได้ดีมาก หลังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ แต่ อลัย เชียเรอร์ กลับเป็นแค่ตัวสำรอง ในเกมที่แพ้ ซันเดอร์แลนด์ ในค่ำคืนที่น่าอับอาย และเขาก็กลับสู่บ้านเก่า
จากนั้นก็มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ในการเป็นผู้จัดการทีม ทั้งกับ เฟเยนูร์ด, แอลเอ แกแล็กซี และ เทเรค กรอซนีย์ ในรัสเซีย พรีเมียร์ ก่อนที่เขาจะวางมือจากการคุมทีม และผันตัวไปเป็นกูรูแทน และกลายเป็นสถานะปกติ และ มีอิทธิพลต่อทีวี ในสหราชอาณาจักร ที่นี่ เขากลายเป็นที่ชื่นชอบ
เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นหยิ่งยโส หรือ เข้าถึงยาก ทั้งยังมีไลฟ์สไตล์ ที่ชื่นชอบปาร์ตี้ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ไม่มีการปฏิเสธ ว่าในฐานะนักเตะเขาเป็นหนึ่งในคนที่สร้างอิทธิพล ได้มากที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ในการเปลี่ยนการรับรู้ในอดีตที่มองว่า นักเตะผิวดำไม่เก่ง และมีดีแค่เรื่องร่างกายเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดถึงเสมอ
ทำไมเราถึงต้องรักเขา?
เราคุ้นเคยกับนักมายากลในจินตนาการ ที่มีรูปร่างเล็กในยุคปัจจุบัน ประเภทตัวกระจิ๊ดริด มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ในทางกลับกัน รุด เป็นขั้วตรงข้าม เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและ สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกตำแหน่ง ด้วยความสง่างามและมั่นคง ทำให้นักเตะตัวเล็กดูเป็นก้อน และอึดอัด เขาสร้างภาพที่งดงามในช่วงเวลาสำคัญของเขา
รุด มีองค์ประกอบที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาสามารถเลี้ยงฝ่าเกมรับสี่คน และเสียบสไลด์ เพื่อแย่งบอลกลับมา ในขณะที่นักเตะส่วนใหญ่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงพอใจ แต่ รุด สามารถยกระดับ ความหลากหลาย ผมคิดมาคลอดว่าเขาเป็นกองหลังที่เล่นบอลได้ดีมาก โดยเฉพาะการเล่นเกมรุกตั้งแต่ในแดน
เขาเล่นได้เกือบทุกตำแหน่งในสนามในบางช่วง เขาก็นำลักษณะที่เหมือนกันมาสู่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ที่น่าทึ่งในการจ่ายบอลที่แม่นยำ การหาพื้นที่ ซึ่งมีแค่นักเตะที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะมีสิ่งนี้ เขาสามารถวิ่งเข้ามาวอลเลย์ หรือเข้ามาโหม่งบอลด้วยความดุดัน และฟรีคิกปั้นเสียบมุมบน ความทรงจำที่ยาวนานของผมเกี่ยวกับรุด ตำนานยูโร 1988 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเราส่วนใหญ่ได้เห็นการเล่นของเขา เป็นระยะเวลานาน เป็นผู้เล่นที่ย้ายไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม และ อยู่ในระดับที่แตกต่างจากคนอื่นๆ รุดเป็นตัวอย่างของแนวคิด เรี่องคอนเซปต์การเล่น ที่ว่า หากคุณมีบอลมากกว่า คุณจะเป็นคนที่ดีที่สุด เมื่อ ทีมชาติฮอลแลนด์ชนะอังกฤษ 3-1 ในปี 1988 เขาเหมือนมาจากดาวดวงอื่น และอาจจะเป็น 8-1 ด้วยซ้ำในเกมนั้น กุลลิต และเช่นเดียวกับ ฟาน บาสเทน ฮีโร่ของสัปดาห์ก่อน ทำลายเกมรับของอังกฤษ โดยเฉพาะโทนี อดัมส์ ทำให้กองหลังที่ดีที่สุดของเรา ดูเหมือนวิ่งไปมาเท่านั้น
เจาไมได้เร่งรีบ หรือใส่ใจอะไร และเกมก็ดูเป็นธรรมชาติ เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ในด้านไหนเป็นพิเศษ เขาสามารถเล่นได้ทุกที่ และแฟนๆทุกวัยก็ชอบที่จะได้เห็นสิ่งนั้น
นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่า แคแรคเตอร์ที่มีสีสันที่เขาดูเหมือนจะเป็นอย่างไร ก่อนรุด เราไม่เคยเห็นใครที่มีผมทรงเดรดล็อก นอกจาก บ็อบ มาร์เลย์ และ ดิ เวลเลอร์ส มันน่าทึ่งและนข่าตื่นเต้น ที่ได้เห็นเขาวาดลวดลาย และโหม่งบอลด้วยความดุดัน นี่คือนักเตะที่สร้างสถิติ (แม้ว่าจะไม่ใช่สถิติที่ดีเป็นพิเศษ) และเป็นส่วหนึ่งของนักเตะที่มีช่วงเวลาที่ดีในช่วงปี 1980สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า ก่อนหน้านี้ ความเป็นมืออาชีพได้ทำลายนักฟุตบอล โดนเปลี่ยนจากกีฬาที่ยกย่องบรรดาสัตว์ประหลาด ที่มีความต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีลีลา แต่รู้ว่าพวกเขาได้ทิ้งสิ่งเหล่านี้เป็นครั้งคราว ในปี 2021 นักเตะในฝัน จะเป็นนักเตะที่คล้ายกับ หุ่นยนต์ โดยเน้นที่การมีประสิทธิภาพที่สูง และแยกไม่ออกว่าเป็นคนหรือหุ่นยนต์ และไมได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนรุด ในปี 1988 มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
เขาไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมที่พิเศษ เหมือนนักเตะมากพรสวรรค์คนอื่นๆ เขาเป็นประเภทที่มีลูกบอลมากพอที่จะมีวิสัยทัศน์ แต่ขาดทักษะการจัดการคนที่จำเป็นสำหรับการเป็นโค้ชที่ดี และมีไม่กี่คนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้
เขายังมีสำเนียงดัตช์ที่หนักแน่น ซึ่งยากจะมองข้ามและมันมักจะเป็นเรื่องตกและเป็นที่รักของทุกคน อาชีพของเขาในฐานะนักวิจารณ์ ได้รับประโยชน์อย่างมากจากเรื่องนี้
อนาคตหลังจากนี้
คุณอาจจะรู้สึกว่ารุด มีชีวิตที่ยอดเยี่ยมในงานยูฟ่า และ ฟีฟ่า เขามักจะจับมือกันอย่างดีใจ และมีหน้าที่หยิบลูกบอลพร้อมยิ่มกว้าง เมื่อเขาไม่ได้คิดค่าตัวแพงเท่าไหร่ ในการทำแบบนั้น ในฐานะกูรู ที่เปิดเผยตัวเป็นครั้งคราว ซึ่งนำความรู้สึกที่ดี และความสามารถในการสร้างสีสันในเกมที่น่าเบื่อ ในขณะที่การแต่งตัวจากเสื้อที่ตัดเย็บแบบเรียบง่าย แต่ดูหรูหรา และไม่มีแบบแผน ซึ่งมันคงดีกับเขาหากนั้นเป็นวิธีที่เขาต้องการใช้ในอีก 30 ปีข้างหน้า