อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ก็เชื่อว่า กุนซือวัย 42 ปี ยังเด็กเกินไป และมีข้อผิดพลาดมากมายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเกมรับ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งฤดูกาล และไม่ยอมใส่ใจที่จะแก้ไขในเรื่องนี้ ในการกลับมาสู่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่รอคอบมาเนิ่นนาน และมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และได้รับความสนใจเสมอ ซึ่งรูปแบบการซ้อมของแลมพาร์ด มันต้องมีมากกว่าแค่ความสำเร็จที่เราไม่สามารถโต้แย้งได้
แลมพ์ – หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาล
แลมพาร์ด คือหนึ่งในกองกลางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมา นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เขาเป็นที่จดจำในฐานะจอมเติมเกมบุก ในฐานะกองกลางจอมซัด และพิสูจน์ตัวด้วยจำนวนประตู และคุณภาพ รวมถึง ระยะในการวิ่งและการสร้างพื้นที่ว่าง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มันง่ายที่จะบอกว่าเขาเป็นกองกลางที่ชื่นชอบในการเล่นเกมบุก และสถิติของเขาก็บอกอยู่แล้วว่าเขามีประสิทธิภาพมากแค่ไหนเมื่ออยู่หน้าประตู : ในช่วงเวลาที่เขาเป็นนักฟุตบอล เขาสามารถทำไปได้ 177 ประตู ในลีก ซึ่งสูงที่สุดเหนือกว่ากองกลางทุกคน ในลีกสูงสุดของอังกฤษ จำนวนประตู 211 ประตู ของเขาในการแข่งขันทั้งหมด ทำให้เขาอยู่ในลำดับต้นๆ ของดาวซัลโว เชลซี และยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างการทำ 102 แอสซิสต์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เห็นว่า เชลซี สร้างเกมบุกได้ดีขนาดไหน ภายใต้โค้ชคนใหม่ ที่ชื่นชอบเกมรุกอยู่แล้ว โดยทีมจากลอนดอนตะวันตกทำไปได้ 69 ประตู ในฤดูกาล 2019/20 แม้จะมีข้อกังวลเรื่องเกมรับ แต่ก็มีประสิทธิภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งลีกที่ 66.6 ประตู อย่างไรก็ตามสำหรับสถิติของทั้งคู่ พวกเขายังคงเป็นอันดับ 3 ในลีก โดยเป็นรองแค่ ทีมแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล รวมถึง แมนเชสเตอร์ ซิติ้ โดยเรือใบสีฟ้า ทำไป 102 ประตู เมื่อฤดูกาลก่อน
ผลการแข่งขันล่าสุดจากเชลซี ที่แพ้ ลิเวอร์พูล 3-5 และ ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 แสดงให้เห็นว่าปัญหาของเขาไม่ใช่การทำประตู เช่นเดียวกับที่ แลมพาร์ด โฟกัสที่เกมรุกอย่างมาก ในปีที่ผ่านมา มันแสดงตัวตนที่ชัดเจนของสิงห์บลู
แท็คติกที่ชัดเจน ตั้งแต่วันแรก
เมื่อ 2 ปีก่อน แลมพาร์ด เริ่มต้นการเป็นโค้ช ซึ่งตัวเขามีแท็คติกที่ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งการเพรสซิ่งอย่างต่อเนื่อง และใช้พลังในการกดดันแดนบนตลอดเวลา เหมือนกับสมัยที่เขาเป็นนักเตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่มีเจ้านายอย่าง โชเซ มูรินโญ แลมพาร์ด มักจะเดินหน้า เพื่อสนับสนุนกองหน้าที่มีอยู่คนเดียว อย่างในฤดูกาล 2004/05 ที่เชลซี พยายามกดดันสูง และดุดันยามไม่มีบอล และตอนนี้มันผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี จนถึงฤดูกาล 2019/20 พวกเขาพยายามสร้างความกดดัน ให้กับฝ่ายตรงข้าม และบีบให้คู่ต่อสู้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นี่คือสาเหตุที่ เมสัน เมาท์ มีความสำคัญต่อระบบการเล่นของทีมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการกดดันที่ดุดัน และความฉลาดของดาวรุ่งวัย 21 ปี ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของแลมพาร์ด แท็คติก และก่อนหน้านั้นทั้งคู่ก็ร่วมงานกันที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้มาแล้ว คุณพูดได้เลยว่า แลมพาร์ด กับ ดาวรุ่งคนนี้มีความคล้ายกันมาก โดยเฉพาะการเล่น วินัย และ ความสามารถ
เชลซีกลายเป็นทีมที่มีเกมรุกน่าสนใจ แต่ในทางกลับกัน กลับมีการจัดระเบียบเกมที่เชื่องช้า ซึ่งมันเป็นมาตั้งแต่สมัยของ เมาริซิโอ ซาร์รี ในช่วงก่อนหน้านี้ และเมื่อแลมพาร์ดเข้ามา ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากยุคซาร์รี ที่เน้นการครองบอล กลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น อดีตกองกลางหมายเลข 8 ต้องการให้นักเตะของเขาเคลื่อนที่ไปกับบอลอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเน้นการจ่ายบอล การสัมผัส และการเลี้ยงบอลเอาชนะ โดยในฤดูกาล 2019/20 ของเชลซี เมื่อเทียบกับยุคของซาร์รีแล้ว สิงห์บลูของแลมพาร์ด มีการผ่านบอลที่น้อยลงกว่าเดิม (20664 ต่อ 22803 ครั้ง) และมีการสัมผัสบอลที่น้อยลงจาก (29171 ต่อ 30655 ครั้ง) แต่ในฤดูกาลที่แล้วพวกเขามีการเลี้ยงบอลที่มากขึ้นกว่าสมัยซาร์รี (465 ต่อ 435) แลมพาร์ด พยายามใช้การเคลื่อนที่ที่ฉลาดและรวดเร็วในสมัยที่เป็นนักฟุตบอล ในการสร้างพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม ด้วความฉลาดของเขา ทำให้การเล่นในพื้นที่ต่างๆมันมีประโยชน์ และยังทำให้เกิดความรวดเร็วและเพียงพอที่จะใส่ทัศนคติในด้านนี้ให้กับนักเตะขอเขาอย่างเจน
ความเหมือนละความแตกต่างในแท็คติกการส่งบอลของแลมพาร์ด
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องผ่านบอล แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่เรารู้จักในฐานะนักเตะและคนที่เรารู้จักในฐานะผู้จัดการทีมนั้นมีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง เขาเข้าใจเกมได้น่าประทับใจ อย่างที่เรารู้กัน ความสามารถนี้ทำให้เขาสามารถส่งบอลที่มีคุณภาพ และมีความหลากหลาย ทั้งการส่งบอลหลอกรวมถึงการส่งไหล ดังนั้นจังเป็นที่น่าสังเกตว่า เชลซี เป็นทีมที่ส่งบอลยาวมากที่สุดลำดับสามในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่แล้ว (ระยะทางไกลกว่า 25 หลา) แต่ก็ยังน้อยกว่าแค่ แมนเชสเตอร์ ซฺตี้ และ ลิเวอร์พูล โดยฤดูกาล 2018/19 พวกเขาอยู่ในอันดับ 4 แต่จำนวนการส่งบอลยาวนั้นลดลงอย่างมากในฤดูกาลนี้ (4369 ต่อ 4996) รูปแบบหลักของแลมพาร์ดในสมัยเป็นนักเตะ ก็คือการเล่นบอลด้วยเช่นกัน แต่ในฤดูกาล 2019/20 เชลซี มีการส่งบอลลักษณะนี้เป็นอันดับ 8 ของลีก และมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จ 41 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอีกสิ่งที่ต้องพูดถึงเชลซี ในฤดูกาลที่ผ่านมา หลังพวกเขายิงฟรีคิกเข้าได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้นในลีก แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาทำไมได้เลย แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่จุดใหญ่ที่ต้องปรับปรุง แต่ภายใต้โค้ชคนใหม่ พวกเขาอาจจะใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น หากต้องการจะก้าวไปข้างหน้า โดยพวกเขาทำประตูจากนอกเขตโทษได้มากที่สุดเป็นอันดับ ที่ 5 หลังยิงไป 10 ประตู ซึ่งนี่มันเป็นสิ่งที่ แลมพาร์ดทำบ่อยมากสมัยเป็นนักเตะของเชลซี และหวังว่าทีมของเขาในปัจจุบัน จะต้องพัฒฯาขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตัวโค้ชเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องลูกนิ่ง และชอบที่จะยิงจากนอกกรอบเขตโทษ
สิ่งที่เขายังต้องปรับปรุงหากยังเป็นนักเตะอยู่
จินตนาการคือสิ่งที่เราเห็นได้จากนักเตะในสนาม แต่เขาคาดหวังว่านักเตะจะมีจินตนาการในการเล่นมากกว่านี้ ในสมัยที่แลมพาร์ดเนนักเตะ เขาจะได้รับอิสระ และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตัวเขาเอง แลมพาร์ดมักจะให้นักเตะตัวรุกของเขา วิ่งไปพื้นที่ว่างและใช้จินตนาการให้มากขึ้น ในการเคลื่อนที่ อย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบนี้ มันเสี่ยงพอสมควร เพราะหากเชลซีเสียบอลกลางทาง มันจะเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโต้กลับเข้าใส่ทันที เพราะการยืนโซนระหว่างกองหลังและกองกลางมันจะมีที่ว่างพอสมควร
มันยังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาต้องปรับปรุง โดยเฉพาะตัวผู้จัดการทีม ที่มีช่วงเวลาสมัยค้าแข้งที่ประสบความสำเร็จมากมาย อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดเจนว่า แนวคิดของเขามันมาจากสมัยเป็นนักเตะ และพยายามประยุกต์กับการได้ร่วมงานกับสุดยอดโค้ชมากมายกว่า 15 ปี ฤดูกาลหน้าจะเป็นตัวบอกให้เราเห็ฯว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร หลังจากที่ทุ่มเงินก้อนโตเสริมทัพมากมาย เขาอาจจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่หวังว่าอาชีพโค้ชของเขาจะตื่นเต้นและประสบความสำเร็จเหมือนกับสมัยที่เป็นนักเตะ