มหาอำนาจลูกหนังจากสเปน ซึ่งจะดวลแข้งกันที่เอสตาดิโอ ดา ลุซ สนามเป็นกลางในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในคืนวันที่ 14 ส.ค.นี้ และจะแข่งแบบผลเดียวรู้ผลกันไปเลยตามกฎกติกาที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั่นเอง
โดย Bundesliga.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ได้ออกตัวเชียร์ทีมลูกหนังจากชาติเดียวกันเสียเลย เพราะได้ยก 5 เหตุผลที่ บาเยิร์น มิวนิค น่าจะจัดการเขี่ย “เจ้าบุญทุ่ม” ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้แบบไม่ยากเย็นนัก เพื่อกรุยทางกลับไปลุ้นครองบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” เป็นสมัยที่ 6 หลังห่างหายไปนานถึง 7 ปีแล้ว นับตั้งแต่หนสุดท้ายที่ทำได้ในปี 2013 ทั้งนี้ “เสือใต้” เคยครองความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ของทวีปได้ถึง 5 สมัย ในฤดูกาล 1973/74, 1974/75, 1975/76, 2000/01 และ 2012/13 ส่วน 5 เหตุผลจะมีอะไรบ้างไปดูกันหน่อยดีกว่า
1.ฟอร์มการเล่นที่ดูดีกว่าเยอะ
ตอนนี้ “เสือใต้” ไม่พบกับความพ่ายแพ้จากการลงเล่นทุกรายการในฤดูกาล 2019/2020 มาแล้วถึง 27 เกมเลยทีเดียว และเก็บชัยชนะได้ถึง 18 เกมติดต่อกันด้วย นับตั้งแต่ช่วงหลังจบเกมที่เปิดบ้านเสมอ แอร์เบ ไลป์ซิก 0-0 ในศึกบุนเดสลีกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนนัดล่าสุดที่พบกับความปราชัยคือเกมบุกไปแพ้ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 1-2 ในศึกบุนเดสลีกา เมื่อปลายปีก่อนโน้นเลย โดยยิงประตูจากทั้ง 27 เกมได้ทั้งหมด 86 ประตู หรือเฉลี่ยแล้วสอยตาข่ายได้เกมละ 3.3 ลูก และเสียประตูเพียง 20 ลูก หรือเฉลี่ยแล้วนัดละ 0.8 ลูกเท่านั้น แถมยังเก็บคลีนชีทได้มากถึง 12 เกมเลยทีเดียว
ตรงข้ามกับ “เจ้าบุญทุ่ม” ที่โชว์ฟอร์มในฤดูกาลนี้ไม่คงเส้นคงวา จึงพลาดท่าเสียแชมป์ลาลีกา สเปน ให้กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ทีมคู่ปรับตลอดกาลเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เพราะจบด้วยอันดับ 2 ในฐานะรองแชมป์ หลังแข่งครบ 38 เกม ชนะ 25 นัด เสมอ 7 นัด และแพ้ 6 นัด ยิงได้ 86 ประตู เสีย 38 ประตู หรือเฉลี่ยนัดละหนึ่งลูกนั่นเอง นอกจากนี้ บาเยิร์น มิวนิค ได้สร้างสถิติใหม่เป็นทีมแรกที่เก็บชัยชนะนับตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนามในรอบแบ่งกลุ่มได้ทั้งหมดถึง 8 เกมอีกด้วย และมีแนวรุกที่เฉียบคมจากการสอยตาข่ายทีมคู่แข่งได้รวมกันมากถึง 31 ประตูอีกต่างหาก
2.”เลวานดอฟสกี้” คมกว่าเมสซี่
ตอนนี้ “เลวานดี้” โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คือกองหน้าที่ยิงประตูได้มากที่สุดในวงการลูกหนังยุโรปฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง เพราะสอยตาข่ายไปได้มากถึง 53 ประตูจากการลงสนามในทุกรายการไปทั้งหมด 44 เกม และยังคงรั้งตำแหน่งดาวซัลโวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยจำนวน 13 ประตูด้วย หรือเฉลี่ยแล้วจะยิงได้หนึ่งประตูในทุกๆ 73 นาที และมีค่าเฉลี่ยที่ดีกว่า ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ที่ยิงในซีซั่นนี้ได้ทั้งหมด 31 ประตู หรือจะซัดได้หนึ่งลูกในทุกๆ 120 นาทีนั่นเอง
ทำให้ดาวยิงวัย 31 ปีมีโอกาสลุ้นคว้าตำแหน่งดาวซัลโวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิตได้เหมือนกัน และมีโอกาสทุบสถิติของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยสร้างผลงานยิงประตูในรายการนี้ได้มากที่สุดต่อหนึ่งซีซั่นได้ด้วย เพราะเคยสอยตาข่ายให้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด เมื่อฤดูกาล 2013/2014 ได้มากถึง 17 ประตูเลยทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องผ่าน “เจ้าบุญทุ่ม” ไปให้ได้เสียก่อนเพื่อจะได้มีเกมฟาดแข้งที่เหลืออยู่ในมือให้ได้มากที่สุดกันต่อไป
3.แนวรุกครบเครื่องกว่า
“เสือใต้” ไม่ได้พึ่งพาการยิงประตูจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะสามารถฝากความหวังเอาไว้กับนักเตะคนอื่นๆ ในแผงแนวรุกได้ด้วย โดยเฉพาะ แชร์จ กนาบรี้ ที่ซัลโวตาข่ายได้มากถึง 20 ประตูจากการลงเล่นในทุกรายการไปทั้งหมด 43 เกม และสร้างสถิตินักเตะเป็นคนแรกในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ยิงประตูช่วงครึ่งหลังของเกมได้ถึง 4 ลูก ซึ่งทำได้ในรอบแบ่งกลุ่มที่บุกไปชนะ สเปอร์ส แบบขาดลอยถึง 7-2 นั่นเอง ส่วน โธมัส มุลเลอร์ ได้สร้างสถิติใหม่ในศึกบุนเดสลีกาจากการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมยิงประตูได้มากที่สุดในซีซั่นถึง 21 แอสซิสต์เลยด้วย
ขณะที่ “เจ้าบุญทุ่ม” แม้จะยิงประตูจากการลงสนามทุกรายการในฤดูกาลนี้ได้มากถึง 109 ประตู แต่ส่วนใหญ่จะต้องพึ่งพา ลิโอเนล เมสซี่ เป็นหลัก โดยเฉพาะผลงานการสอยตาข่ายในศึกลาลีกา สเปน เนื่องจาก เมสซี่ ครองตำแหน่งดาวซัลโวด้วยจำนวน 25 ประตู และจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมสอยตาข่ายได้มากที่สุดถึง 21 แอสซิสต์ ส่วน บาเยิร์น มิวนิค ยิงประตูในซีซั่นได้ทั้งหมด 130 ลูก และสอยตาข่ายไม่ได้เพียงแค่ 2 เกมด้วย นั่นก็คือเกมที่แพ้ ดอร์ทมุนด์ 0-2 ในศึกเยอรมัน ซูเปอร์ คัพ และเกมในศึกบุนเดสลีกาที่เปิดบ้านเสมอ แอร์เบ ไลป์ซิก 0-0
4.แนวรับเหนียวแน่นกว่า
แม้จะมีปัญหาผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังผลัดกันได้รับบาดเจ็บแบบต่อเนื่อง แต่ “เสือใต้” กลับสามารถรับมือเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการขยับ ดาวิด อลาบา แบ็กซ้ายจอมลุยให้ฮุบเข้ามายืนเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็นอยู่บ่อยๆ และทำผลงานได้ดีกว่าพวกกองหลังอาชีพเสียด้วยซ้ำ พร้อมกับช่วยเปิดทางให้ อัลฟองโซ่ เดวีส์ ดาวรุ่งพุ่งแรงวัย 19 ปีได้แจ้งเกิดในตำแหน่งแบ็กซ้ายแบบเต็มตัวอีกด้วย แถมยังสร้างสถิติเป็นนักเตะวิ่งเร็วที่สุดในศึกบุนเดสลีกาจากการโชว์สปีดนัดที่บุกไปชนะ แวร์เนอร์ เบรเมน 1-0 ได้ด้วยความเร็ว 22.7 ไมล์ต่อชั่วโมง
ส่วน “เจ้าบุญทุ่ม” มีปัญหาเรื่องแนวรับด้วยเหมือนกัน เนื่องจาก ซามูเอล อุมติตี้ ได้รับบาดเจ็บแบบต่อเนื่อง จึงต้องพึ่งพา เกราร์ด ปิเก้ กองหลังจอมเก๋าวัย 33 ปีเป็นหลัก และต้องยืนเล่นคู่กับ เกลมองต์ ลองก์เล่ต์ แบบห้ามเดี้ยงพร้อมกันด้วย เพราะไม่มีผู้เล่นสำรองในตำแหน่งกองหลังแล้วนั่นเอง เช่นเดียวกับแบ็กขวาที่มี เนลซอน เซเมโด้ เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเพียงคนเดียว จึงต้องขยับ เซร์กี้ โรแบร์โต้ กองกลางตัวรับให้ถอยลงมาสวมบทเป็นแบ็กขวาในบางเกมอยู่บ่อยๆ ด้วย
5.”ฟลิค”มีฝีมือเหนือกว่าเซเตียน
นับตั้งแต่ก้าวเท้าสวมบทกุนซือ บาเยิร์น มิวนิค ต่อจาก นิโก้ โควัช เจ้านายเก่าที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงปลายก่อน หลังจากนั้นโค้ชวัย 55 ปีสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้แบบอยู่หมัด และนำทัพ “เสือใต้” เก็บชัยชนะจากการลงเล่นในทุกรายการได้มากถึง 30 เกมจากการลงเล่นทั้งหมด 33 เกม และสร้างสถิติเป็นโค้ชที่เก็บคะแนนเฉลี่ยจากทุกเกมที่ลงสนามในศึกบุนเดสลีกาได้มากที่สุดถึง 2.76 แต้ม ซึ่งทุบสถิติเดิมของ จุปป์ ไฮย์เกส อดีตตำนานของสโมสรเมื่อตอนที่คุมทัพในฤดูกาล 2012/2013 ด้วยค่าเฉลี่ยนัดละ 2.65 แต้ม
ส่วน “เจ้าบุญทุ่ม” ได้ตัดสินใจเลือกใช้งาน กิเก้ เซเตียน กุนซือไร้ชื่อเสียงให้เข้ามารับงานคุมทัพต่อจาก เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ โค้ชชาวสเปนที่ถูกไล่ตะเพิดเมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้จะพาทีมพบกับความพ่ายแพ้ไปเพียง 4 เกมจากการลงเล่นในทุกรายการ แต่มีส่วนทำให้ทีมชวดคว้า 2 แชมป์ในประเทศช่วงฤดูกาลนี้ไปเลย ซึ่งตรงข้ามกับ ฟลิค ที่เข้ามาคุมทัพ “เสือใต้” แล้วเข้าป้าย “ดับเบิ้ลแชมป์” จากการป้องกันแชมป์บุนเดสลีกา และแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ได้ทั้งหมดเลย